ชีวประวัติและการศึกษา
เดิมชื่อว่า ปันถกะ แปลว่า ทาง เพราะมารดาได้คลอดในระหว่างเดินทางกลับจากเมืองราชคฤห์ท่านเป็นบุตรคนที่สองจึงได้คำนำหน้าว่า
จูฬปันถกะ แปลว่า ทางเล็ก ส่วนพี่ชายของท่านมีชื่อว่า
มหาปันถกะ แปลว่า ทางใหญ่
บิดาของท่านเกิดในวรรณะศูทร
ไม่ปรากฎนาม ส่วนมารดาเป็นลูกสาวเศรษฐีในกรุงราชคฤห์ เป็นคนวรรณะแพศย์ หรือไวศยะ
ต่อมาทั้งสองได้เกิดความรักต่อกัน จึงได้หนีออกจากบ้านไปอยู่ในป่า
ซึ่งไกลจากเมืองราชคฤห์ และได้กำเนิดบุตรชายสองคน คือ มหาปันถกะ
และจูฬปันถกะ
บิดามารดาจึงได้นำลูกทั้งสองไปให้เศรษฐีเมืองราชคฤห์
ซึ่งเป็นตากับยายเลี้ยงดูแต่ด้วยการที่ท่านเศรษฐีมีจิตเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาได้พาเด็กทั้งสองไปฟังธรรมที่วัดด้วยเป็นประจำเด็กทั้งสองจึงมีใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
และได้ขออนุญาตตากับยายบรรพชา ท่านได้อนุญาตให้มหาปันถกะบวชได้ส่วนจูฬปันถกะยังไม่อนุญาตให้บวช
เพราะยังเด็กจึงให้อยู่กับตายายไปก่อน
หลังจากจูฬปันถกะได้บวชแล้วมหาปันถกะผู้เป็นพี่ชายได้พยายามอบรมสั่งสอนแต่ท่านมีปัญญาทึบจำอะไรไม่ค่อยได้โดยที่สุดพระพี่ชายให้ท่านท่องคาถา๔
บทใช้เวลา ๔ เดือนยังท่องไม่ได้ ท่านจึงเกิดความเสียใจ คิดจะลาสิกขา
จึงได้เดินร้องไห้ออกจากวัด
ในขณะนั้น
พระศาสดาทรงทราบเหตุการณ์นั้นมาโดยตลอด
จึงได้เสด็จไปเพื่อห้ามการลาสิกขาของพระจูฬปันถกะ แล้วได้ประทานผ้าขาวผืนหนึ่งให้
แล้วตรัสสอนให้บริกรรมว่า “ระโชหะระณัง
ระโชหะระณัง (ผ้าเช็ดธุลี)” พร้อมกับลูบผ้านั้นไปด้วย
ไม่นานนักผ้าขาวผืนนั้นก็ค่อย ๆ หมองคล้ำไปจนเห็นเป็นสีดำ ท่านจึงพิจารณาเห็นว่า
แม้ผ้าขาวบริสุทธิ์อาศัยร่างกายของมนุษย์ ยังต้องกลายเป็นสีดำอย่างนี้
ถึงจิตของมนุษย์ เดิมทีเป็นของบริสุทธิ์ อาศัยกิเลสจรมาก็ย่อมเกิดความเศร้าหมอง
เหมือนกับผ้าผืนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยงแท้
ท่านบริกรรมผ้านั้นไปจนจิตสงบแล้วได้บรรลุฌาน
แล้วได้เจริญวิปัสสนาต่อก็ได้บรรลุพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาและอภิญญา
หลังจากที่ท่านบรรลุพระอรหันต์ใหม่ ๆ นั้น
ท่านได้แสดงอิทธิฤทธิ์ให้คนใช้ของหมอชีวกได้ประจักษ์ด้วยสายตาตนเอง
ดังเรื่องที่ท่านเนรมิตรภิกษุเป็นพันรูป ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน
เมื่อคนใช้ที่หมอชีวกมานิมนต์ท่านแล้ว ถามว่า พระรูปไหนชื่อจูฬปันถกะ ทั้งพันรูปก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “อาตมาชื่อจูฬปันถกะ” ในที่สุดพระศาสดาทรงแนะนำวิธีให้ว่ารูปไหนพูดก่อนว่า
“อาตมาชื่อจูฬปันถกะ” ให้จับมือภิกษุรูปนั้น
คนใช้ของหมอชีวกก็ได้ทำตามนั้นด้วยเหตุนี้เองพระศาสดาจึงทรงยกย่องท่านว่าเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้านผู้เนรมิตกายอันสำเร็จด้วยฤทธิ์และผู้พลิกแพลงจิต
ข้อควรจำ
๑
.หลังบวชท่านเป็นคนปัญญาทึบ ท่องคาถาเพียง ๔ บวชโดยใช้เวลา ๔ เดือนก็จำไม่ได้จึงคิดว่าตนเองไม่มีวาสนาถูกพระพี่ชายต่อว่าเอาจึงหนีไปเพื่อสึก ความทราบถึงพระศาสดาจึงเสด็จไปห้าม และประทานผ้าขาวผืนหนึ่งให้ทำการบริกรรมจนผ้ากลายเป็นสีดำทำให้ท่านเกิดความสังเวชแล้วยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนาจนบรรลุพระอรหันต์
๒. ท่านได้รับการยกย่อง (เอตทัคคะ) ว่าเป็นผู้มีมโนมยิทธิ มีฤทธิ์ทางใจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น