ชีวประวัติและการศึกษา
นามเดิมชื่อว่า “ปิลินทะ” ส่วนคำว่าวัจฉะเป็นชื่อของโคตร ภายหลังชื่อว่า “ปิลินทวัจฉะ” เพราะนำเอาชื่อโคตรไปรวมด้วยเกิดในตระกูลวัจฉโคตรใน เมืองสาวัตถี ส่วนบิดาและมารดาไม่ปรากฎนามปกติท่านเป็นผู้ที่มากไปด้วยความสังเวช
คือความสลดใจที่ประกอบกับโอตตัปปะ ได้บวชเป็นปริพาชกสำเร็จวิชา๓ ชื่อว่า
จูฬคันธาระ เหาะเหินเดินอากาศได้และรู้ใจของผู้อื่น
มีลาภยศมากโดยอาศัยอยู่ในกรุงราชคฤห์
เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้
และประทับประกาศพระศาสนาอยู่ที่นครราชคฤห์ ทำให้วิชา และลาภยศของท่านเสื่อม
ต่อมาท่านจึงเลื่อมใสและขอบวช โดยหวังว่าจะได้เรียนรู้วิชาจากพระพุทธองค์
เพราะผู้ที่ตั้งอยู่ในโอวาทของท่านสมัยเป็น พระเจ้าจักรพรรดิ ได้ไปเกิดเป็นเทวดามากมาย เทวดาเหล่านั้นอาศัยความกตัญญู
มีความนับถือท่านมาก
เข้าไปหาท่านทั้งเช้าเย็น
แต่ท่านมักจะมีปัญหากับภิกษุและชาวบ้าน
เพราะท่านชอบใช้วาจาไม่ไพเราะ
ต่อมาพระศาสดาทรงแก้ไขให้ทุกคนเข้าใจ ก็ไม่มีใครถือสากลับมีศรัทธาเลื่อมใสยิ่งขึ้น
ท่านเป็นพระที่มีวาจาศักดิ์สิทธิ์
เล่ากันว่า
ชายคนหนึ่งถือถาดดีปลีมา
ท่านถามว่า “ถาดอะไรไอ้ถ่อย” ชายคนนั้นโกรธ คิดว่าพระอะไรพูดคำหยาบ
จึงตอบไปว่า “ถาดขี้หนู” พอผ่านท่านไปดีปลีเป็นขี้หนูจริง
ๆ ต่อมามีคนแนะนำเขาว่าให้เดินสวนทางกับท่านใหม่
ถ้าท่านถามอย่างนั้น
จงตอบท่านว่าดีปลี
ก็จะกลายเป็นดีปลีดังเดิม
เขาได้ทำตามคำแนะนำ
ปรากฏว่ามูลหนูกลับเป็นดีปลีดังเดิม
ข้อควรจำ
๑.
ก่อนบวชท่านเคยบวชเป็นปริพพาชก สำเร็จวิชา ๓ เหาะเหินเดินอากาศ และรู้ใจคนอื่นได้
๒. ท่านพบพระศาสดาที่กรุงราชคฤห์ถูก พระศาสดาทำให้ท่านเสื่อมวิชา และเสื่อมลาภ ท่านจึงเข้ามาฟังธรรมแล้วปฏิบัติตามธรรมจนบรรลุพระอรหันต์
๓.
ท่านมักพูดกับคนอื่นว่า คนถ่อย เพราะความเคยชิน แต่ไม่เจตนาร้าย
๔.
ท่านได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้รักใคร่ของเหล่าเทพยดาทั้งหลาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น